ภาวะอ้วนลงพุง มหันตภัยเงียบที่คุณคาดไม่ถึง
คนที่อ้วนลงพุงจะ
มีไขมันสะสมในช่องท้องปริมาณมาก ยิ่งรอบพุงมากเท่าไหร่ไขมันสะสมในช่องท้องมากเท่านั้น ไขมันที่สะสมนี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ มีผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี เกิดเป็น “ภาวะอ้วนลงพุง” ซึ่งเป็นเหตุของโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น น้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเส้นเลือด โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองโดยเอวที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 5 ซม. จะเพิ่มโอกาสเกิดโรคเบาหวาน 3-5 เท่า ดังนั้น
“ยิ่งพุงใหญ่เท่าไร ยิ่งตายเร็วเท่านั้น” ข้อมูลในประเทศไทยพบ เมื่อเกิดภาวะอ้วนลงพุง และเป็นเบาหวนจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ มากกว่าคนปกติถึง 5 เท่าปัจจุบันพบภาวะอ้วนและลงพุงมากขึ้นเรื่อยๆ ประมาณว่าประชากรในประเทศไทยที่มีอายุมากกว่า 35 ปี หรือ 9.3 ล้านคน มีเส้นรอบพุงเกินเกณฑ์ที่กำหนด โดยพบว่าผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (52% เทียบกับ 22%) และพบว่าผู้อาศัยอยู่ในเมืองมากกว่าชนบท (45% เทียบกับ 34%)
องค์การอนามัยโลกระบุภาวะอ้วนและอ้วนลงพุงเป็นสาเหตุของการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญโดยคิดเป็นสัดส่วน 2-6% ของงบประมาณด้านสุขภาพของประเทศ เฉพาะที่สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2001 มีค่าใช้จ่ายที่เกิดจากภาวะอ้วนถึง 117,000 ล้าน US ดอลลาร์ หรือประมาณ 4 ล้านล้านบาท
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคอ้วนลงพุง Metabolic syndrome ผู้หญิงที่มีรอบเอวตั้งแต่ 80 เซนติเมตร ผู้ชายรอบเอวตั้งแต่ 90 เซนติเมตร และมีภาวะดังต่อไปนี้อย่างน้อย 2 ข้อ 1.ความดันโลหิตมากกว่า 130/85 ,ผู้ที่ได้รับยารักษาความดันโลหิต 2.ระดับ Triglyceride >150 mg% ,หรือผู้ที่เป็นไขมันสูงและได้รับยาลดไขมัน 3.ระดับ HDL > 40,50 mg%สำหรับชายและหญิง ,หรือผู้ที่เป็นไขมันสูงและได้รับยาลดไขมัน 4.ระดับน้ำตาลสูงกว่า 100 mg% หรือผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่2 พบว่าผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง 3 ข้อจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 2 เท่า และพบว่าผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง 4 ข้อจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองเพิ่ม 3 เท่า และเกิดโรคเบาหวานเพิ่ม 24 เท่า
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค - อายุ พบว่าอายุมากมีโอกาสเป็นสูง ผู้ที่มีอายุ 20พบภาวะนี้เพียง 10% คนที่อายุ 60 มีอัตราการเกิดร้อยละ 40 - เชื้อชาติ คนผิวดำจะมีโอกาสมากกว่าปกติ - คนอ้วนจะมีโอกาสมากกว่คนผอม - ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวานจะมีโอกาสเป็นโรคสูง - โรคอื่นๆเช่นความดันโลหิต
ภาวะนี้ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร - ทำให้หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบจึงเกิดโรคหัวใจได้ง่าย - ไตจะขับเกลือออกได้น้อยลงทำให้เกิดความดันโลหิตสูง - ไขมัน triglycerideที่สูงเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดหลอดเลือดตีบ - เลือดจะแข็งตัวได้ง่ายทำให้อุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองหรือหัวใจ - เป็นโรคเบาหวานได้ง่าย
การรักษา เมื่อผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นกลุ่มโรค Metabolic Syndrome จะต้องได้รับการรักษาเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดและโรคเบาหวาน และจะต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดอื่นด้วย การรักษาโดยการปรับพฤติกรรม 1.การออกกำลังกาย วันละ 30 นาทีสัปดาห์ละ 5 วันจะลดการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน 2.การรับประทานอาหารสุขภาพ ลดอาหารไขมันลง และรับอาหารพวกแป้งไม่เกินร้อยละ 50 ของอาหารที่รับประทาน ให้รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่นอาหารธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก ถั่ว ลดอาหารพวกเนื้อสัตว์ ใช้น้ำมันถั่วเหลืองแทนน้ำมันปามล์ งดกระทิ 3.ลดน้ำหนัก จากการศึกษาของประเทศฟินแลนด์และอเมริกาพบว่าการลดน้ำหนักลงร้อยละ 5-10 ของน้ำหนัก จะชลอหรือลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน 4.ลดการดื่มสุราและสูบบหรี่
ที่มา : กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข |